Home ข่าวประชาสัมพันธ์ ASW เปิดแผนปีกระต่าย เดินหน้าผุด 12 โครงการใหม่

ASW เปิดแผนปีกระต่าย เดินหน้าผุด 12 โครงการใหม่

มูลค่ารวมกว่า 2.25 หมื่นล้านบาท

“แอสเซทไวส์” ประเดิมศักราชใหม่ปี’ 66 เดินหน้าเปิด 12 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 22,500 ล้านบาท ชู 3 กุญแจสำคัญ เผยอาจมีโครงการที่ 13 ทำเลระยอง รอลุ้นความชัดเจนผังEEC ทั้งปักธงผุดคอนโดฯรอบมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะมธ.-มกท.ฐานกำลังซื้อสูงและต่อเนื่อง พร้อมจับมือพันธมิตรขยายอาณาจักรอสังหาฯ เสริมแกร่ง-รุกธุรกิจใหม่รองรับไลฟ์สไตล์ ตอบแทนสิ่งที่ดีสู่สังคม เพื่อการเติบโตที่มั่นคง-ยั่งยืน  ตั้งเป้าโกยยอดขายปีนี้กว่า 15,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ 7,200 ล้านบาท

นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 นี้ว่า จะดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา ทั้งจากเศรษฐกิจที่กำลังจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงขับเคลื่อนหลังจากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ และนโยบายการกระตุ้นอสังหาฯ ของภาครัฐที่ยังคงดำเนินการต่อเนื่องในปี 2566 ซึ่งจะส่งผลดีต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในปีนี้ รวมถึงเทรนด์การอยู่อาศัยที่มีการปรับเปลี่ยน เพื่อให้สอดคล้องกับสังคมในปัจจุบัน ทั้งการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ หรือที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และจากการที่จีนประกาศเปิดประเทศ ก็ยิ่งเป็นผลเชิงบวก เพราะที่ผ่านมาโครงการของบริษัทฯ โดยเฉพาะในย่านห้วยขวาง ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี โดยช่วงก่อนวิกฤติโควิด-19 มีสัดส่วนลูกค้าจีนประมาณ 20% และปีนี้คาดว่าจะมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 20-30% ทั้งนี้ต้องรอดูพฤติกรรมของลูกค้าชาวจีนก่อน

จากปัจจัยบวกเหล่านี้แอสเซทไวส์ฯจึงเป็นเกณฑ์ในการกำหนดกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ และ มองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการคว้าโอกาสขยายธุรกิจเชิงรุก ด้วยการใช้จุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ 3 กุญแจสำคัญในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่

  1. Continue:  มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุดตั้งแต่บริษัทได้ดำเนินธุรกิจมา จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 22,500 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนคอนโดมิเนียมฯ 70% และโครงการแนวราบ 30% แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ “เคฟ” (Kave), แบรนด์ “แอทโมซ” (Atmoz) และแบรนด์ “โมดิซ” (Modiz) จำนวน 9 โครงการ มูลค่ารวม 15,830 ล้านบาท และโครงการบ้าน 3 โครงการ มูลค่ารวม 6,670 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “ดิ ออเนอร์” (The Honor) และ แบรนด์แนวราบน้องใหม่กับ แบรนด์ “ดิ อาร์เบอร์” (The Arbor) เพื่อเปิดประสบการณ์ที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมดีไซน์ใหม่ เตรียมขยายกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายครอบคลุมทุกเซกเมนต์มากยิ่งขึ้น  โดยในจำนวนดังกล่าวจะเป็นโครงการที่ร่วมทุนกับพันธมิตรชาวต่างชาติประมาณ 2-3 โครงการ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาอยู่ประมาณ 3-4 ราย โดยมีทั้งพันธมิตรรายเดิมและรายใหม่ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ ทั้งนี้บริษัทฯ วางเป้าหมายการเติบโตของยอดขายที่ระดับ 15,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารับรู้รายได้ในปีนี้ที่ 7,200 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯยังเล็งเปิดตัวโครงการมิกซ์โปรดักส์ ทั้งแนวราบและแนวสูง ที่จังหวัดระยอง อีก 1 โครงการ แต่ทั้งนี้คงต้องรอความชัดเจนของแผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดินและแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2562 (ผัง EEC)เสียก่อน ซึ่งอาจจะเป็นโครงการที่ 13 ที่พัฒนาได้ในปีนี้ ส่วนจะเป็นการพัฒนาเองหรือร่วมทุนกับพันธมิตร ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้

สำหรับการพัฒนาโครงการโดยรอบมหาวิทยาลัยในปีนี้ จะเป็นการพัฒนาในทำเลเดิมๆอยู่ 3 แห่ง คือใกล้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต(มธ.),มหาวิทยาลัยกรุงเทพ(มกท.)และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน  โดยจะเน้นการพัฒนาใกล้มธ.และมกท.มากที่สุด เนื่องจากมีฐานลูกค้าเดิมค่อนข้างมากและต่อเนื่อง สามารถปล่อยเช่าและได้ผลกำไรตอบแทนประมาณ 7% ต่อปี และบริษัทฯจะยังคงเดินหน้าพัฒนาคอนโดฯใกล้มหาวิทยาลัยอย่าต่อเนื่องโดยไม่มีระยะเวลา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดีมานด์และซัพพลายในช่วงระยะเวลานั้นๆด้วย

ส่วนงบซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทตั้งไว้ที่ 2,000-3,000 ล้านบาท ซึ่งจะรองรับการพัฒนาโครงการในปีต่อๆไป โดยเน้นที่ดินในเมืองเป็นหลัก เนื่องจากหลังที่เศรษฐกิจฟื้นตัว และจีนเปิดประเทศ ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองมีมากขึ้น

ด้านการโอนโครงการของบริษัทในปีนี้มีโครงการใหม่ที่จะทยอยโอน 9 โครงการ มูลค่ากว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่า 11,000ล้านบาทซึ่งจะทยอยรับรู้ในปีนี้าเข้ามาเกือบเท่ากับเป้ารับรู้รายได้ของบริษัท และบริษัทยังตั้งเป้ารายได้ในปี 2568  แตะ 10,000 ล้านบาท จากการเดินหน้าขยายโครงการต่อเนื่อง

2. Connect: มุ่งสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่ เพื่อเติมเต็มพอร์ตให้แข็งแกร่งครอบคลุมทำเลทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด โดยล่าสุดเมื่อช่วงปลายปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทฯได้ร่วมทุน กับบริษัท โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในจังหวัดภูเก็ต ในโครงการ “โบทานิก้า แกรนด์ อเวนิว” (BOTANICA Grand Avenue) ซึ่งเป็นพูลวิลล่าระดับลักชัวรีที่ดีที่สุดบนหาดบางเทา จังหวัดภูเก็ต เพื่อรุกขยายพอร์ตแนวราบระดับลักชัวรี มูลค่าโครงการกว่า 10,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังผนึกกำลังบริษัทพันธมิตรในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมต่าง ๆ พร้อมส่งสัญญาณบวกในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง อาทิ บริษัท ทาคาระ เลเบ็น จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของญี่ปุ่น ในการพัฒนาโครงการ “แอทโมซ บางนา” (Atmoz Bangna) มูลค่าโครงการกว่า 2,200 ล้านบาท และโครงการ “เคฟ ซี้ด เกษตร”(Kave Seed Kaset) มูลค่าโครงการกว่า 1,350 ล้านบาท และเพิ่มความแข็งแกร่งให้พอร์ตอสังหาฯ โดยร่วมทุนกับบริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ จำกัด (Tokyo Tatemono) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงมานานกว่าหนึ่งศตวรรษ เพื่อพัฒนาโครงการ “แอทโมซ โอเอซิส อ่อนนุช” (Atmoz Oasis onnut) มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท และยังจับมือร่วมทุนกับ บริษัท ไอดีล เรียล จำกัด ในโครงการ “เคฟ มิวแทนท์ ศาลายา” (Kave Mutant Salaya) มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมองหาโอกาสในธุรกิจใหม่ในด้านไลฟ์สไตล์ เพื่อต่อยอด และกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯได้เข้าซื้อหุ้น 41.18% ในบริษัท แซ๊ป เวิลด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด หรือ ZAAP World ผู้ดำเนินธุรกิจ Lifestyle & Entertainment ครบวงจร ตอกย้ำการเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ สู่การเป็นแบรนด์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครบทุกมิติ ทั้งทางด้านเทคโนโลยี การสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์ และคุณภาพชีวิต ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness”

“บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจนอกอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระจายธุรกิจให้มีความหลากหลาย โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทสนใจ เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวกับเฮลท์แคร์ เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในปีนี้อย่างน้อย 1 ดีล โดยที่บริษัทวางงบลงทุนในส่วนของธุรกิจนอกอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 400 ล้านบาท สำหรับรองรับโอกาสในการลงทุนในธุรกิจใหม่ ซึ่งบริษัทจะมีการพัฒนาโครงการตามเทรนด์ของความต้องการในการซื้อที่อยู่อาศัย”นายกรมเชษฐ์ กล่าว

อีกทั้งยังได้สร้าง Community ของคนรุ่นใหม่ ด้วยการเปิด MONSTR Club แพลตฟอร์มออนไลน์ที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารและกิจกรรมความบันเทิงที่คนรุ่นใหม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างมากมาย อาทิ “MONSTR Concert Festival” คอนเสิร์ตที่จะยกทัพศิลปินชั้นนำ หมุนไปสร้างความสุข สนุกสุดมันส์ ที่โครงการ Kave ในทำเลต่างๆของ แอสเซทไวส์ฯ, การจัดแข่งขันกีฬา E-Sport, กิจกรรม Mingle Cover Dance Contest, กิจกรรม Mingle Cosplay Contest และล่าสุดกับเวทีการประกวด “MONSTR Music Awards @Mingle” รวมหัว รัวดนตรี ที่เปิดโอกาสให้น้อง ๆ ตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ตลอดจน นิสิต นักศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีได้เข้าร่วมประกวดวงดนตรีอย่างเต็มที่ เพื่อเฟ้นหาสุดยอดวงดนตรีเยาวชนหน้าใหม่

3.Contribute: เดินหน้าดำเนินธุรกิจเพื่อให้เกิดความยั่งยืนควบคู่ไปกับการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “GrowGreen” โดยเริ่มต้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564 เพื่อสร้าง Ecosystem ที่เกื้อหนุนให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งในแง่ของการพักอาศัย สิ่งแวดล้อมและสังคม ผ่าน 5 แกนหลักสำคัญได้แก่ Energy Efficiency, Waste Management, Green Space, Clean Air และ Water Management ด้วยกิจกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการ “แยก Binกัน” รณรงค์การแยกขยะที่เริ่มดำเนินการและเห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง, การติดตั้งแผงโซลาร์บนชั้นดาดฟ้า (Solar Rooftop) ที่โครงการที่พักอาศัยและคอมมูนิตี้มอลล์ในเครือ และโครงการ “ASSETWISE PLANT for the PLANET” กับการทำภารกิจกู้โลก ร่วมกันปลูกต้นไม้ให้ได้ 433 ต้น/คน เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และช่วยเพิ่มออกซิเจน พร้อมเป้าหมายที่จะชวนทุกคนมาสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อช่วยโลกและทำให้ธุรกิจสามารถขับเคลื่อนได้อย่างยั่งยืน

รวมถึงเดินหน้าสร้างสรรค์สังคมแห่งการแบ่งปัน จากทั้งผู้บริหาร พนักงาน บริษัทพันธมิตร และลูกบ้านของแอสเซทไวส์ฯทุกคน ผ่านโครงการ PUNN By AssetWise  ด้วยการจัดกิจกรรม “หนึ่งหยดโลหิต…ต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์” อย่างต่อเนื่อง เพื่อรณรงค์การบริจาคเลือดต่อชีวิตให้กับเพื่อนมนุษย์ อีกทั้งยังปันน้ำใจสู่สังคมด้วยการมอบสิ่งของเพื่อช่วยเหลือสังคมและผู้ขาดแคลน และจากที่แอสเซทไวส์ฯได้ดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลนั้น ส่งให้บริษัทได้รับการคัดเลือกได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2565 ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” นายกรมเชษฐ์ กล่าว

ทั้งนี้จากภาพรวมปี 2565 ที่ผ่านมา แอสเซทไวส์ฯได้พัฒนาโครงการต่าง ๆ ซึ่งได้เสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยเฉพาะการขยายตลาด Campus Condo ภายใต้แบรนด์ “เคฟ” (Kave) ที่เปิดโครงการมาแล้วกว่า 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 14,700 ล้านบาท และสร้างปรากฏการณ์การตอบรับอย่างล้นหลามจากลูกค้าภายหลังการเปิดตัว โดย ณ สิ้นปี 2565 บริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการรวม ทั้งสิ้น 47 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 49,900 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่ 34 โครงการ และโครงการที่กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา 13 โครงการ ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 12,935 ล้านบาท

“ในปีนี้ถือว่าเป็นอีกปีที่มีความท้าทายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น การเปิดโครงการใหม่ หรือการขยายพอร์ตธุรกิจให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น สำหรับเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งของบริษัท เพื่อผลักดันให้เราก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำของธุรกิจอสังหาฯที่สร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์ และต่อยอดให้ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ด้วยเป้าหมายการรับรู้รายได้ 7,200 ล้านบาท และเป้าหมายยอดขายที่ 15,000 ล้านบาท ซึ่งเรามั่นใจว่าจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน” นายกรมเชษฐ์ กล่าวในที่สุด