การเข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของทุนจีนอาจจะยังไม่เห็นมากเมื่อเทียบกับในประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทย
เพราะผู้ประกอบการจีนที่เข้ามาในประเทศไทยยังเลือกที่จะลงทุนให้สอดคล้องกับกำลังคนซื้อคนไทยโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงกำลังซื้อคนจีนแบบที่คาดคิด
สัดส่วนของการซื้อโดยคนจีนในโครงการที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการจากประเทศจีนยังไม่เกิน 49% ตามกฎหมาย
อาจจะมีที่เกินสัดส่วนที่กำหนดบ้างแต่ก็เป็นการถือครองในรูปแบบของนิติบุคคลไปหรือที่เรียกกันว่า “นอมินี”
หรือที่เป็นข่าวไปในช่วงไม่นานมานี้ ก็การเป็นเจ้าของบ้านเกือบทุกหลังในโครงการบ้านจัดสรรราคาแพง
หรือการเป็นเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรในประเทศไทยเลยผ่านการพัฒนาโดยบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทยตามกฎหมายถูกต้องแบบ 100%
แต่รูปแบบการดำเนินธุรกิจ และความโปร่งใสนั้นผิดแน่นอน
การเข้ามาของทุนจีนในรูปแบบนี้อาจจะดูเหมือนไม่ใช่การลงทุนขนาดใหญ่แบบที่เห็นในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งทุนจีนเข้าไปในหลายประเทศเป้นการเข้าไปลงทุนสร้างอาคารสูง โครงการที่อยู่อาศัย มิกซ์-ยูสขนาดใหญ่ หรือสร้างเป็นเมืองใหม่ขึ้นมาจากที่ดินรกร้างว่างเปล่า
รวมไปถึงเข้าไปลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษที่รัฐบาลประเทศต่างๆ เปิดช่องทางในการลงทุนให้
แม้ว่าการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ รัฐบาลประเทศต่างๆ จะให้ทุนจีนลงทุนเช่าที่ดินระยะยาว แต่ก็ยาวนานมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ซึ่งถือว่าเพียงพอสำหรับการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการขนาดใหญ่
ซึ่งถ้าโครงการเสร็จสมบูรณ์ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าทุนจีนหรือเขาเริ่มคิดได้ว่าการลงทุนโครงการนี้สร้างผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่า ก็อาจจะหยุดการก่อสร้างไปเลย ปล่อยให้อาคารที่กำลังก่อสร้างต่างๆ ต้องหยุดชะงักไปทันทีเลย หรือถ้าเป็นการลงทุนในที่ดินขนาดใหญ่ เช่น
เขตเศรษฐกิจพิเศษก็จะมีสภาพไม่สมบูรณ์เพราะมีการพัฒนาไปเพียงบางส่วนเท่านั้น โครงการที่อยู่อาศัยหรือการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษของกลุ่มทุนจีนในประเทศเพื่อนบ้านนั้นไม่ได้เป็นการพัฒนาเพื่อคนในพื้นที่
แต่เป็นการพัฒนาโครงการขึ้นมาเพื่อรองรับกำลังซื้อของคนจีนซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะคนในประเทศนั้นๆ อาจจะไม่สามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ เพราะราคาขายสูงกว่ากำลังซื้อของคนในประเทศ