ช่วงปีพ.ศ.2555 มีภาพยนตร์จีนเรื่อง “Lost in Thailand” ที่ฉายในประเทศจีนแล้วจุดกระแสทำให้คนจีนอยากมาเที่ยวประเทศไทย
ทำให้จำนวนคนจีนที่เดินทางเข้าประเทศไทยในปีพ.ศ.2556 4.64 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีพ.ศ.2555 ถึง 1.85 ล้านคน
ก่อนที่ “Detective Chinatown” จะเป็นอีกเรื่องที่กระตุ้นให้คนจีนอยากมาไทยช่วงปีพ.ศ.2559
และจากนั้นจำนวนคนจีนที่เดินทางเข้าประเทศไทยก็เพิ่มขึ้นโดยตลอดจนครองสัดส่วน 17 – 28% ของจำนวนคนต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยช่วงปีพ.ศ.2556 – 2562
และเคยมีจำนวนมากถึง 10.997 ล้านคนในปีพ.ศ.2562
จากนั้นช่วงปีพ.ศ.2563 – 2565 ลดลงตามภาวะข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศ
ช่วงเดือนมกราคม – สิงหาคม พ.ศ.2566 ก็ยังเข้ามาในประเทศไทยไม่มากนัก โดยมีจำนวน 2.2 ล้านคน
ต่ำกว่าที่รัฐบาล และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาตั้งเป้าไว้ที่ 4 – 4.4 ล้านคน ยังขาดอีกเยอะเลย
ปัจจัยลบหนึ่งที่อาจจะมีผลต่อความคิดคนจีน คือ ภาพยนตร์ 2 เรื่อง คือ“Lost in The Star” ชื่อไทยคือ “เมียผมหายในหมู่ดาว” ออกฉายปีพ.ศ.2566 สร้างรายได้กว่า 3,500 ล้านหยวน เกี่ยวกับคู่แต่งงานใหม่มาฮันนีมูนในอาเซียนแล้วภรรยาหายตัวไป ก่อนที่จะมีผู้หญิงอีกคนมาแอบอ้างว่าเป็นภรรยาเขา
อีกเรื่อง คือ “No More Bets” ที่ทำรายได้ในจีนไปกว่า 3,700 ล้านหยวน ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ และคอลเซ็นเตอร์ในอาเซียน ผู้สร้างใช้สโลแกนในการโปรโมทว่า “ผู้ชม 1 คนเหยื่อฉ้อโกงลดน้อยลง 1 คน”
ทั้ง 2 เรื่องพูดถึง “อาเซียน” รวมถึงประเทศไทยในแง่มุมที่ไม่ดีนัก และคนจีนก็ค่อนข้างคล้อยตามที่ภาพยนตร์นำเสนอ
ทำให้ความคิดเรื่องการมาเที่ยวในไทยอาจจะยังไม่ได้รับการพูดถึงมากนัก ต้องให้คนจีนที่มาเที่ยวไทยเป็นคนแก้ข่าวให้
การปล่อยฟรีวีซ่าชั่วคราวของรัฐบาลครั้งนี้ก็อาจจะช้าไปหน่อยที่จะทำให้คนจีนเข้าประเทศไทยช่วงวันหยุดยาวต้นเดือนตุลาคม
ส่วนของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเองเข้ามามากขึ้นแน่นอน แต่ส่วนของกรุ๊ปทัวร์อาจจะต้องรอหลังจากนี้
เพราะต้องมีการเตรียมตัวหลายอย่าง ช่วงวันหยุดยาวนี้อาจจะยังไม่พร้อม ต้องรอลุ้นช่วงปลายปีอีกที ไม่อย่างนั้นก็อาจจะไม่ได้ตามเป้าที่วางไว้