ช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา น่าจะได้ยินเรื่องของอัตราการเกิดของคนไทยที่ลดลงต่อเนื่อง
โดยลดลงมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2555 มาถึงปัจจุบัน หรือลดลงตต่อเนื่องมาประมาณ 10 – 11 ปีแล้ว
แต่ถ้าดูในภาพรวมแล้วจะเห็นว่าอัตราการเกิดของคนไทย
อยู่ในทิศทางที่เป็นขาลงมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2540 เป็นต้นมา
ซึ่งปีพ.ศ.2540 เป็นปีแรกที่มีอัตราการเกิดต่ำกว่า 9 แสนคน จากนั้นก็ลดลงต่อเนื่อง
อาจจะมีการเพิ่มขึ้นบ้างในบางปี แต่หลังจากนั้นไม่นานก็จะลดลงอีกครั้ง
ซึ่งการที่ประชากรไทยเกิดใหม่ลดลงมาจากหลายปัจจัย
ทั้งเรื่องของภาวะเศรษฐกิจ และค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู รวมไปถึงคนจำนวนมากย้ายเข้าสู่เมือง
ไม่ได้อยู่ในชนบทหรือทำงานในภาคเกษตรกรรมแบบช่วงก่อนปีพ.ศ.2520 อีกแล้ว
ค่าใช้จ่ายในเมืองรวมไปถึงการต้องทำงานหนัก และความที่ไม่อยากให้ลูกลำบากเหมือนตนเองเริ่มมีมากขึ้น
คนในสังคมเมืองจึงเริ่มมีลูกลดน้อยลง เหลือเพียงครอบครัวละ 1 – 3 คน
จนค่อยๆ ลดลงเดหลือเพียงครอบครัวละ 1 คนก่อนที่จะลดลงเหลือต่ำกว่า 1 คน
นั่นหมายความว่าครอบครัวคนไทยจำนวนมากในปัจจุบันไม่มีลูก
เรื่องของการเกิดที่ลดน้อยลงต่อเนื่องมาในช่วงหลายปีนี้มีผลกระทบต่อสิ่งต่างๆ อีกลหายเรื่องแน่นอนในปัจจุบัน และในอนาคต
การที่คนไทยมีอัตราการเกิดลดลงมาต่อเนื่องในช่วงหลายๆ ปีที่ผานมา
เริ่มเห็นผลกระทบมากขึ้นแล้วในช่วงปัจจุบัน และน่าจะมากขึ้นต่อเนื่องไปถึงอนาคต
เพราะไม่เพียงกระทบตั้งแต่ระบบการศึกษา โรงเรียนเอกชนจำนวนมากไปต่อไม่ได้ โรงเรียนในต่างจังหวัดไกลๆ ก็ต้องปิดตัวเองลงเช่นกัน
ชนบทหลายๆ หมู่บ้านเริ่มขาดแคลนคนรุ่นเด็กไปถึงวัยหนุ่มสาว ในขณะที่สังคมเมืองขาดแคลนแรงงานเพื่อทำงานที่ต้องใช้แรงงาน
การเข้ามาของแรงงานต่างด้าวจึงกลายเป็นสิ่งที่เจ้าของโรงงาน และเจ้าของกิจการต่างๆ เรียกร้องไปยังรัฐบาล ถึงขนาดต้องมีการให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้นำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน
ธุรกิจอีกหลายๆ อย่างเริ่มเห็นปลายทางในอนาคตว่าไม่สามารถพึ่งพากำลังซื้อคนไทยได้แล้ว
การหันไปเปิดตลาดกับกำลังซื้อต่างชาติจึงกลายเป็นเรื่องจำเป็น ทั้งในเรื่องของธุรกิจการท่องเที่ยว และอสังหาริมทรัพย์
การที่มีคนเกิดน้อยในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมามีผลกระทบในเรื่องของกำลังซื้อที่ลดลง
เพราะเมื่อคนเกิดน้อยแล้วโตขึ้นมาจนถึงช่วงอายุ (35 – 54 ปี) ที่ต้องใช้เงินเพื่อซื้อบ้าน รถ หรือใช้จ่ายต่างๆ ก็น้อยลงไปด้วยเช่นกัน
และในอนาคตก็คงเป็นช่วงเวลาที่กลุ่มคนที่อยู่ในช่วงวัยของการใช้เงินจะมีจำนวนลดลงต่อเนื่อง สวนทางกับกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปที่เพิ่มมากขึ้น
การพึ่งพาแต่กำลังซื้อของคนไทยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจคงทำได้ยากขึ้นในอนาคต