ผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย
มีการขยายขอบเขตการทำธุรกิจของตนเองออกไปยังธุรกิจอื่นๆ ต่อเนื่อง
และจริงๆ แล้วมีมานานหลายปีแล้ว เพียงแต่เห็นได้ชัดเจนช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้อาจจะเห็นพวกเขาขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์
เพียงแต่ไม่ได้เป็นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยขาย เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเม้นต์ ค้าปลีก โกดังสินค้า อาคารสำนักงาน เป็นต้น
แต่ปัจจุบันนี้เห็นได้ชัดเจนเลยว่ามีมากกว่าที่กล่าวไปแล้ว
ทั้งการขยายธุรกิจไปยังธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์เลย
เช่น โรงพยาบาล พลังงานทดแทน โลจิสติกส์ สุขภาพ เป็นต้น
แต่ผู้ประกอบการบางรายก็ยังคงขยายธุรกิจไปในทิศทางที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์
โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม
ซึ่ง 2 รายที่เห็นได้ชัดเจนว่ามาทางนี้ คือ แสนสิริ และออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่มีแนวทางการขยายไปยังธุรกิจโรงแรมชัดเจน
เพียงแต่มีรูปแบบแตกต่างกันเท่านั้น
รูปแบบการขยายไปยังธุรกิจโรงแรมหรือธุรกิจอื่นๆ ของผู้ประกอบการในธุรรกิจอสังหาริมทรัพย์
มีความแตกต่างกันไปตามรูปแบบการลงทุนหรือความต้องการรวมไปถึงข้อตกลงของแต่ละผู้ประกอบการ
ผู้ประกอบการบางรายต้องการเพิ่มรายได้ผ่านการลงในรูปแบบการร่วมทุนเลย
เช่น แสนสิริที่ลงทุน 62% ใน Standard International เพื่อขยายการลงทุนโรงแรมแบรนด์ The Standard และ The Peri ไปทั่วโลก
ตอนนี้มีแล้ว 11 แห่งในประเทศไทยทั้งโรงแรมของตนเอง และรับบริหาร
โดยตั้งเป้าว่าจะมีมากถึง 38 แห่งทั่วโลกภายในปีพ.ศ.2568
แต่ผู้ประกอบการบางรายอย่างออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ทำอีกรูปแบบหนึ่ง
ลงทุนพัฒนาโรงแรมขึ้นมา แล้วให้ IHG เข้ามาบริหารโรงแรมของตนเอง
ซึ่งรูปแบบนี้ ออริจิ้นยังเป็นเจ้าของโรงแรมแบบ 100%
และเปิดโรงแรมโดยใช้แบรนด์ต่างๆ ของ IHG ซึ่งมีอยู่มากมายหลายแบรนด์
และหลายระดับมาก โดยโรงแรมในเครือของออริจิ้นที่เปิดบริการแล้ว และที่กำลังจะเปิดให้บริการมีทั้ง Intercontinental, Holiday Inn และ Staybridge
ในอนาคตอาจจะมีแบรนด์อื่นๆ ในเครือ IHG มากขึ้นก็เป็นไปได้ และออริจิ้นก็ชัดเจนว่าจะมีโรงแรมของตนเองให้มากกกว่าปัจจุบันที่มีแล้วเกือบ 2,000 ห้อง
นอกจากนี้ออริจิ้นยังสามารถทำอะไรกับโรงแรมเหล่านี้ก็ได้ในอนาคตทั้งการรวมเป็นพอร์ตเพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ และขายเข้ากองรีท
ต้องติดตามดูต่อไปในอนาคต